ประการแรก อย่าให้เด็กได้รับสื่อการเรียนรู้มากเกินไป พยายามสอนให้พวกเขาเน้นสื่อการเรียนรู้ประเภทหนึ่งเป็นหลัก และเสริมด้วยสื่อการเรียนรู้ประเภทอื่น เพื่อที่เด็กจะได้ใช้ประโยชน์จากสื่อการเรียนรู้แต่ละประเภทได้อย่างเต็มที่
ประการที่สอง ใช้วิธีถามคำถามเพื่อช่วยให้เด็กเลือกวัสดุและวางแผนว่าจะใช้วัสดุอย่างไร เช่น “กระดาษหนาหรือไม้ดีกว่ากัน” หรือ “หนูอยากใช้วัสดุอะไร จะใช้ที่ไหน และวัสดุใดที่จะไม่ใช้ในวันนั้น” หรือ “อันไหนควรทำก่อน” อย่าออกคำสั่ง เพราะคำสั่งจะทำให้เด็กนิ่งเฉย
3. เมื่อเด็กประสบปัญหา ผู้ปกครองสามารถแนะนำวิธีแก้ปัญหาให้เด็กได้ เช่น “คุณคิดว่าวิธีนี้ดีไหม” อย่าลืมให้เด็กคิดหาวิธีแก้ปัญหาอื่นๆ ด้วย หากวิธีของเด็กไม่ดีไปกว่าวิธีของคุณ การให้เด็กได้ลองทำดูก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดเช่นกัน
ประการที่สี่ เมื่อเด็กทำงานเสร็จหนึ่งชิ้น ให้เขาเอามาโชว์ให้ทุกคนดู หรือพาไปโรงเรียนอนุบาลเพื่อแนะนำผลงานของเขาให้เพื่อนร่วมชั้นฟัง และฟังความคิดเห็นของเด็กคนอื่นๆ หากเด็กสนใจ ก็ให้กระตุ้นให้พวกเขาทำการประมวลผล
ห้า อย่าให้ภาพวาดและโมเดลสำเร็จรูปแก่เด็กมากเกินไป เพราะจะทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสออกแบบและวางแผนเองน้อยลง และทำให้พวกเขาหยุดคิดและจินตนาการ
วัสดุที่ควรเลือกสำหรับของเล่นที่เด็กทำเองนั้นควรเป็นแบบไหน ของเล่นที่เด็กทำเองส่วนใหญ่ทำจากวัสดุเหลือใช้และไม่จำเป็นต้องซื้อจากร้านค้า ในการทำของเล่น เด็กบางคนจะใส่กล่องยาสีฟัน ฝาขวดโซดา และขวดเล็กๆ ไว้ในกระเป๋า ทำให้พ่อแม่กังวล แล้วคำแนะนำเชิงบวกควรเป็นอย่างไร?
ประการแรก คุณควรให้ตู้ลิ้นชักหรือกล่องกระดาษขนาดเล็กแก่เด็กๆ เพื่อเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ประการที่สอง เพื่อให้เด็กๆ เข้าใจวิธีการเลือก รวบรวม และใช้อุปกรณ์ คุณควรสอนให้เด็กๆ รู้จักการจำแนกประเภท ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามความสนใจและวัยของเด็ก ต่อไปนี้คือการจัดประเภทที่สมเหตุสมผล:
จุด – กระดุม ฝาขวด ลูกแก้ว เมล็ดพืช หิน และอื่นๆ
เส้น – ไม้จิ้มฟัน ไม้เกม ปลอกพลาสติก เชือก ริบบิ้น ตุ๊กตา
หน้า – กระดาษสี สติกเกอร์ การ์ด ผ้า ฟิล์มถ่ายรูป หน้าจอ ฯลฯ (โดยสีและลักษณะต่างๆ ลงบนคลิป)
วัสดุสะสม – ฝ้าย ทรัม ขี้เลื่อย (เก็บในถุงพลาสติก)
รูปทรงพื้นฐาน – กล่อง แกนม้วน บล็อก ขด
ฮ่าๆ